วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ความกลัว

เมื่อคืนเราคุยกันในกลุ่ม พูดเรื่อง ความกลัว
พี่คนหนึ่งเป็นพ่อ เล่าว่า ลูกมาปรึกษาเรื่อง สถานการณ์ที่เขาประสบ คือเขาไม่พอใจเพื่อนของเขาคนหนึ่ง ทุกครั้งที่มีการประชุม เพื่อนคนนี้จะเป็นสาเหตุ ที่ทำให้เขารู้สึก

"...โกรธ หงุดหงิด ไม่พอใจ การงานการประชุมที่เขาคิดเขาวางไว้ ไม่เป็นไปตามที่เขาคิด ในฐานะเขาเป็นประธาน เป็นหัวหน้า เขารู้สึกควบคุมไม่ได้..."

อาการในคำพูดเหล่านั้น เป็นสิ่งที่ถ่ายทอดผ่านผู้เป็นพ่อ
พี่คนนั้นถามฉันว่า..ลูกเขาควรทำอย่างไร
เขาว่า เขาแนะนำสิ่งที่ควรจะทำไปหมดแล้ว แต่ดูเหมือนสถานการณ์เดิมๆ กับอาการเหล่านี้ยังปรากฎเป็นประจำในการบอกเล่าของลูกให้พ่อฟัง

ลุง ป้า น้า อา ทั้งหลายต่างวิเคราะห์หาสาเหตุ
เขากลัวไงล่ะ เขากลัวอะไร สืบค้นไป
กลัวเสียหน้า มีพี่คนหนึ่งยืนยัน
....
ฉันว่าดีแล้ว เขารู้สภาวะ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา
ส่วนเรื่องการจัดการ กับสภาวะนั้น ให้เขามีสติ กับตัวเขาเอง เขาฝึกขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวเขาคล่อง เขาก็จะจัดการได้เอง..นี่แหละปัญญา

ส่วนการแสวงหาวิธีการจัดการกับคนที่เป็นเหตุ ปัญญาจะนำพาเขาจัดการได้เอง
อย่าหลงทางแสวงหาการจัดการกับภายนอก
ให้รีบหันกลับมาจัดการต้นเหตุที่แท้จริงภายในตนเอง..เป็นสำคัญ
สืบค้นความกลัว กลัวอะไร มันไม่ทันต่อสถานการณ์ที่เขาประสบพบเจอทุกวัน
ยิ่งสืบค้นอย่างไม่มีสติ ก็ปล่อยต้นความโกรธ โทสะ เจริญเติบโตขึ้น
เอายาเร็วให้เขาก่อน...กลับมารู้เนื้อรู้ตัวให้เร็ว ค่อยสืบค้น
คราวนี้ค่อยจัดการทั้งข้างนอก และข้างใน
.......
ฉันนึกถึงตอนฝึก เดินเข้าป่าช้า นั่งข้างหลุมศพ ยามค่ำคืน
ทำไมต้องเดินเข้าป่าช้า
เพราะเห็นความกลัวได้ชัดเจน อาการทางกายจะแสดงออกก่อน ขาสั่น มือเย็น ใจเต้นเร็ว ที่โบราณว่ากลัวจับใจ เสียงใบไม้ไหว กิ่งไม้ในความมืด ความคิดจะเล่นงาน ภาพเดิมๆ ที่ถูกสอน ผี..ผี..ผี เขาจะออกมายามค่ำคืน ...เห็นมั้ยนั่นแหละอาการของความกลัว...กลัวความคิด อันเป็นประสบการณ์เดิมๆ หรือสิ่งที่เราได้ยินได้ฟัง ได้ดูตามหนัง..มันตามมาอย่างชัดเจน
ฉันผ่านมันมาอย่างไม่ยากเย็น
....
แต่ใครจะไปรู้ว่าเราจะกลัวอะไร ถ้าเราไม่พบไม่เจอประสบการณ์นั้นด้วยตนเอง
การเจอะเจอ ประสบการณ์ ที่ทำให้เราค้นพบว่า เรากลัวอะไร สำหรับนักฝึกฝน แล้วเป็นแบบทดสอบว่า ที่ฝึกมาทั้งหมดนี่ ทำได้ หรือเท่าทันมั้ย เมื่อเจอ
แล้วฉันก็พบ
.....
เดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้ ฉันไปที่วัดกาฬสินธุ์(ว่าป่าธรรมอุทยานสาขา 2) วันหนึ่งเราไปที่เขื่อนด้านหลังวัด มีพระ 3 รูป พระอาจารย์นัย หลวงพี่ศักดิ์ พระชาญ(ตอนนั้น) เป้ นี นก และหมาอีก 3 ตัว มีแพหาปลาอยู่กลางเขื่อน ต้องนั่งเรือแจว ไปที่แพ เรือแจวที่นั่งได้อย่างมาก 3 คน ก่อนลงไปนั่งหลวงพี่ศักดิ์ต้องวิดน้ำออกด้วย ท่านถามใครจะไปก่อน ฉันว่าฉันก็ได้ ก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร ว่ายน้ำก็ไม่แข็งเลย แถมผู้แจวเรือเป็นหลวงพี่ศักดิ์ ก็มีความมั่นใจในการลงเรือไปกับท่าน มีนีไปด้วย พอไปถึงแพเวิ้งน้ำกลางเขื่อน ที่ดูจากบนฝั่ง แพหาปลาอันใหญ่โตกว้างยาว ประมาณ 3 x 8 เมตรครึ่งหนึ่งด้านหน้าเปิดโล่ง มีปลูกต้นไม้ผักสวนครัวอยู่ตรงกลาง ด้านหลังเป็นเหมือนห้องมีหลังคา ดูแล้วแข็งแรงปลอดภัยดี พอไปถึงแพ ฉันเห็นลำไผ่ที่ลอยอยู่เหนือน้ำ มีน้ำท่วมปิ่มๆ แพที่กว้างใหญ่ส่วนหน้า เป็นการมัดไผ่ 4 ด้านเป็นขอบ ความกว้างให้คนยืนได้ตรงๆ 1 คนเท่านั้น ส่วนตรงกลางเป็นช่องโหว่ เหมือนกับขอบของกรอบรูป ที่ตรงกลางเป็นน้ำ ฉันรู้สึกกลัวจับใจ มันไม่ปลอดภัยเหมือนแพที่เราเคยขึ้นอย่างแพบ้านเรา หรือ แพกาญจนบุรีที่ไปเที่ยว หลวงพี่ศักดิ์ส่งฉันลงบริเวณส่วนหน้า ฉันต้องก้าวเดินไปต่อถึงส่วนหลังเองที่มีหลังคา ฉันก้าวไปบนแพในท่านั่ง มันนั่งอยู่ตรงนั้น มันลุกไม่ขึ้น น้ำหนักตัวน้อยเสียเมื่อไหร่ ยิ่งทำให้ไม้ไผ่มันยุบตัวลงเหมือนตัวเราอยู่บนผิวน้ำ เวิ้งว้างไปหมด ความกลัวมันจับจิตจับใจมากขึ้นไปอีก อย่าแค่เดินเลย มันทรงตัวได้แค่ท่าเหมือนคนเตรียมวิ่ง มือเกาะกับไม้ไผ่ที่นั่งยองๆ อยู่ แม้แต่จะตั้งตัวเพื่อยืน ยังไม่สามารถ ขา ตัวมันเกร็งแข็งไปหมด เหมือนกับนั่งอยู่บนเวิ้งน้ำกว้างใหญ่ เพื่อนฉัน นี ที่มาพร้อมกัน ลงข้างหน้าฉันห่างไปอีกสัก 1 ช่วงแขน นียื่นแขนมาเพื่อรับฉัน ฉันตะโกนบอก แกใจเย็นๆ รอเดี๋ยว ฉันยังนั่งอยู่ท่านั้นลุกยืนไม่ได้ นีว่า แกนั่นแหละใจเย็นๆ บนฝั่งฉันมองเห็นพระอาจารย์นัยกำลังยืนกอดอกมองมาที่ฉัน หลวงพี่ศักดิ์ ยิ้ม เหมือนจะหัวเราะ อยู่ในเรือแจว ที่ริมฝั่ง เตรียมไปรับเพื่อนๆ คนอื่น ฉันไม่สามารถยืนขึ้นจริง นีก็ไม่สามารถเอื้อมมือมาช่วยฉันได้ ฉันไม่สามารถลุกขึ้นมาเอื้อมมือไปหานีได้ จริงๆค้นพบว่าเราไม่ไว้วางใจนีพอ เพราะฉันค่อยๆ ลุกเอื้อมมือไปจับมือ เจ้าของแพที่ต้องพายเรือ มาช่วยฉัน มาจับมือจูงมือฉันไปจนถึงส่วนของมีหลังคาจนได้ วันนั้นเรากลับมาสนทนาธรรม ส่วนของพระท่านว่า โยมนกเจอสิ่งที่กลัว ที่ไม่สามารถที่จะควบคุมกายได้เสียแล้ว เป็นโจทย์ที่ต้องกลับมาฝึก หากเรารู้เนื้อรู้ตัวได้เท่าทัน ร่างกายเราก็จะผ่อนคลาย ดูแลร่างกายตัวเองได้ การฝึกมาทั้งหมดมันแสดงเมื่อเจอ หรือประสบพบเจอกับสถานการณ์ว่าเราไม่เท่าทันพอ
....
การเจอสิ่งที่เรากลัวจึงเป็นแบบทดสอบ ที่ทำให้เราได้ฝึกฝน ไม่ใช่เจอเพื่อบอกว่าเราเก่งเราแน่ เราผ่านมันมาได้ มันเป็นเพียงการผ่านเพื่อให้เราฝึกจำสภาวะ ได้นำมาใคร่ครวญ หากเราเจออะไรที่เราไม่เคยเจอ การเท่าทันที่เราสามารถกลับมารู้เนื้อรู้ตัว เราเท่าทันกลับมาสัมผัสลมหายใจได้อย่างมีสติ มีปัญญารอบที่จะจัดการได้อย่างรวดเร็วทั้งภายในและภายนอก ทักษะนั่นต่างหากคือปัญญาที่เราต้องสะสมเป็นประสบการณ์ เป็นทักษะที่ต้องคล่องและเรียกใช้ให้ได้เท่าทันสถานการณ์
...
การยืนอยู่นอกถ้ำ เพื่อบอกเขาว่าให้เดินออกมานอกถ้ำ นอกถ้ำไม่น่ากลัวอย่างที่เขาคิด
การบอกว่า ให้หันหน้าเพื่อเดินตามแสงปากถ้ำ แล้วออกมา ... จึงช่างยากเย็น
เพราะเขายังอาจหันหลัง และกลัวกับเงามืดที่ปรากฎบนผนังถ้ำ ที่ได้มาจากประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม และความคิดที่หล่อหลอมมา

เราอาจต้องยืนยันถึงความเป็นเพื่อน ที่ยังอยู่ในถ้ำกับเขา (เพราะจริงๆ เป็นเช่นนั้น)
เราเพียงหันหน้าหาปากถ้ำ เห็นแสงสว่าง และเริ่มเดินทางไปปากถ้ำ เพื่อสักวันจะออกนอกถ้ำ
บางครั้งเราก็เผลอหันหลังและกลัวเงาที่ปรากฎบนผนังถ้ำเช่นกัน
จนบางครั้งความกลัวทำให้ถอยหลังกลับไปชิดผนังถ้ำเข้าไปอีก..
แต่ไม่เป็นไร
เรารู้วิธีที่จะหันกลับมาหาแสงสว่าง และเดินต่อเพื่อออกนอกถ้ำ
เราจึงเป็นแค่เพื่อน ของเขา เพราะเราและเขา ต่างมีเส้นทางเดินของตนเอง
และเราแบ่งปันกันได้แค่วิธีหันหน้าไปหาแสงสว่างทางปากถ้ำ
แต่การหันตัวหันหน้ามาปากถ้ำต้องทำเอง
ทำแทนกันไม่ได้ และไม่มีใครสามารถจับใครหันมาให้เห็นแสงสว่างนั้นได้...
....

จริงจังอีกละ ..ฟังเพลงดีก่า
Road to nowhere

http://www.youtube.com/watch?v=-wgrM-R6yfY

http://www.youtube.com/watch?v=ER5AZDzrvRk

Well we know where we’re going
But we don’t know where we’ve been
And we know what we’re knowing
But we can’t say what we’ve seen
And we’re not little children
And we know what we want
And the future is certain
Give us time to work it out

We’re on a road to nowhere
Come on inside
Taking that ride to nowhere
Well take that ride

I’m feeling okay this morning
And you know,
Were on the road to paradise
Here we go, here we go

Maybe you wonder where you are
I don’t care
Here is where time is on our side
Take you there...take you there

Were on a road to nowhere
Were on a road to nowhere
Were on a road to nowhere

There’s a city in my mind
Come along and take that ride
And it’s all right, baby, it’s all right

And its very far away
But its growing day by day
And it’s all right, baby, it’s all right

They can tell you what to do
But they’ll make a fool of you
And it’s all right, baby, it’s all right

We’re on a road to nowhere

พูดเรื่องเดียวกันแต่ บันเทิงกว่าเยอะ..แหงะ ตัววิจารณ์ ออกอีกแล้ว

ต้นสาละ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น